วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555


 

1. มีไปทำไม

มีเงินนับแสนล้าน แต่ใช้จริงวันละไม่ถึงร้อย
มีบ้านใหญ่โตอย่างกับวัง แต่อยู่กันแค่ 4 คน พ่อแม่ลูก
มีรถนับสิบสิบคัน แต่ใช้งานจริงแค่คันเดียว
มีเตียงใหญ่โตมโหฬาร แต่นอนเพียงแค่เต็มแผ่นหลัง
มีนาฬิกาแสนแพง แต่ไม่เคยทำอะไรตรงเวลา
มีเวลาอยู่ในโลกไม่ถึงร้อยปี แต่กลับแบ่งเวลาไปริษยาคนอื่น
มีกฏหมายนับพันมาตรา แต่มีอาชญากรอยู่เต็มเมือง
มี ส.ส. อยู่เต็มสภาพ แต่มาประชุมไม่เคยครบเลย
มีพ่อแม่อยู่ที่บ้าน แต่ไม่เคยปรนิบัติท่านเลย
มีอำนาจอยู่เต็มมือ แต่ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย
มีภรรยาแสนดี แต่ไม่เคยแบ่งเวลาให้เธอเลย
มีลูกแสนน่ารัก แต่ไม่เคยโอบกอดลูกเลย
มีพระไตรปิฏกอยู่เต็มตู้ แต่ไม่เคยเปิดออกมาศึกษาเลย
มีวัดอยู่แทบทุกหมู่บ้าน แต่ศีลธรรมของสังคมแย่ลงทุกวัน
มีรองเท้าเป็นพันคู่ แต่ใส่จริงแค่วันละคู่
มีพี่น้องนับ สิบคน แต่แตกสามัคคีกันทุกคน
มีมือมีเท้าสมบูรณ์ แต่ไม่เคยลงแรงทำอะไรเลย
มีหูอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยฟังธรรมเลย
มีตาอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยมองหาสิ่งที่ดีเลย
มีเท้าอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยเดินเข้าหาโอกาสเลย
มีปัญญาอยู่กับตัว แต่กลับใช้อารมณ์เป็นใหญ่
จะเห็นได้ว่าหลายสิ่ง แม้มีเราก็ไม่ได้ใช้ หลายสิ่ง แม้มีเราก็ไม่เห็นคุณค่า บทความนี้คงทำให้หลายคนฉุกคิดได้ว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งที่ “มี”
Categories : ข้อคิด และ คติเตือนใจ

 

2. การพัฒนาครูสู่ครูมืออาชีพ

         เห็นความคิดเห็นหนึ่งในบทความ “ครูที่ดี” ของพรหมจริยวัตร ที่ให้ความเห็นโดยครูสุริยา แก้วลายนะครับ คิดว่าน่าสนใจทีเดียวสำหรับมุมมองของการพัฒนาครู
การพัฒนาครูก็เหมือนการพัฒนาประเทศ พัฒนาโลก หากครูซึ่งเป็นผู้ประสาทวิชาขาดแนวทางในการพัฒนาตนแ้ล้วคงจะไม่สามารถพัฒนา คำสอนหรือบทเรียนให้ทันตามโลกที่เปลี่ยนแปลงได้ ลองอ่านกันดูนะครับ
1. ครูจะต้องมีการเตรียมตัวก่อนเข้าสอน เช่นวางขั้นตอนในการสอนว่าจะเริ่มสอนอะไร-ก่อน และตามด้วยอะไรเป็นลำดับขั้นไว้ล่วงหน้า
2. ในการสอนไม่ควรปล่อยเวลาว่างให้มากหรือน้อยเกินไป เพราะนักเรียนจะเล่น และคุยกัน ควรวางลำดับขั้นตอนการสอนให้ต่อเนื่อง
3. ควรสบตากับนักเรียน และมั่นใจในขณะสอนและคิดไว้เสมอว่านักเรียนไม่รู้เท่าเรา (หากเรามีการเตรียมตัว เราจะมีความมั่นใจ)
4. เมื่อนักเรียนคุย ควรติติงว่าอย่าคุยให้ตั้งใจเรียน (การเรียกชื่อติติงจะแสดงถึงความเอาใจใส่นักเรียนทำให้นักเรียนสนใจมากขึ้น)
5. พยายามรักและมีความยุติธรรมต่อเด็กและให้โอกาสแสดงออกเสมอกัน
6. ชมเชยเมื่อนักเรียนทำงานถูกต้องหรือทำความดี
7. ทำโทษเด็กเมื่อนักเรียนทำผิด ถ้าไม่ผิดอย่าลงโทษเด็ดขาด
8. ควรเก็บอารมณ์ หรือความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อนักเรียนไว้ไม่ให้ปะปนกับเรื่องการเรียน
9. เรียกถามตอบบ้างให้เขาได้พูดหรือแสดงออกบ้างโดยวิธีต่างๆ เขาจะไม่เบื่อและสนุกสนานในการเรียน
10. เอาใจใส่นักเรียนให้สม่ำเสมอ ไม่ถือตัว ไม่รังเกียจเขา
11. ควรคำนึงถึงความสามารถในการเรียน และเวลาที่เขาจะเรียนได้ เด็กแต่ละช่วงอายุมีความสามารถในการสนใจเรียนเท่าใด เช่นเด็ก ป.1 – ป.3 ไม่เกิน 20 นาทีติดต่อกัน
12. รักและเอ็นดูเขาไม่ใช้คำด่าทอที่รุนแรง ดูถูก เหยียดหยาม
13. นักเรียนบางคนมีปมด้อย หรือมีปัญหาครอบครัว ก็ให้เป็นกันเองกับเขาเห็นใจและสงสารเขาอย่ารังเกียจซ้ำเติม
14. อย่าลำเอียงและให้ความใส่ใจนักเรียนที่เรียนอ่อนบ้าง เขาจะไม่เกเรหรือก้าวร้าว
15. มอบสิ่งเล็กๆน้อยๆแก่นักเรียนที่ยากจนขัดสน เช่นให้ดินสอ ยางลบ ฯลฯ หรือขนมบ้างพอสมควร
16. ให้สัมผัสที่อบอุ่น และจริงใจ เช่นแตะแขน แตะไหล่ เพื่อเป็นการปลอบใจในเวลาที่เหมาะสม
17. ครูต้องแม่น เนื้อหา อย่าแก้ปัญหาโดยพูดมั่วๆ
18. ในเวลา 1 คาบไม่ควรใส่เนื้อหาสาระมากมายนักเรียนจะไม่ได้อะไรเพราะจำไม่ไหวเกิดอาการล้าควรใส่เนื้อหาให้เหมาะสม จะง่ายในการจดจำ
19. ปล่อยให้เขาได้เป็นอิสระสบายๆ บ้าง ไม่เข้มงวดกวดขันจนเกินไป
20. พูดจาให้สุภาพอ่อนโยน ควรมีเมตตา และถามไถ่ เรื่องส่วนตัวเขาบ้างตามสมควร
21. อย่าเอาเรื่องปมด้อยเด็กมาพูดเป็นเรื่องสนุก และไม่ดูถูก ควรให้กำลังใจ
22. หากเด็กเจ็บป่วย ควรให้ความสนใจ สงสารและดูแลเขา หากอาการหนักควรเป็นธุระแจ้งผู้ปกครอง หรือพาไปส่งโรงพยาบาล
23. สอนให้นักเรียนรู้จักหน้าที่มีคุณธรรม และจริยธรรม
24. สอนให้เขาเห็นความสำคัญของการศึกษาในการอ่านออกเขียนได้คิดเลขเป็น
25. สอนให้รัก และมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะ พ่อ-แม่
26. สอนให้รักบ้านเกิดเมืองนอน ประเทศชาติ และเคารพรักสถาบันพระมหากษัตริย์
27. ปลูกฝังค่านิยมไทย โดยครูเป็นตัวอย่าง เช่นทักทายกันด้วยการไหว้
28. ครูเป็นตัวอย่างในการแต่งกาย ควรแต่งกายให้เหมาะสม และรู้จักการออมประหยัด
29. สอนให้ความรู้โดยไม่ปิดบัง
30. ให้เวลาพักบ้าง ถ้าเรียน 2 ชั่วโมงต่อกัน เมื่อนักเรียนหนักสมอง
31. เมื่อเข้าสอนควรถามนักเรียนก่อนว่า เมื่อชั่วโมงที่แล้วนักเรียนเรียนวิชาอะไรครูให้ทำอะไร เช่นครูให้คัดไทย ในชั่วโมงเราก็หลีกเลี่ยงการให้คัดเขียนมาก
32. เห็นคุณค่าของเขาว่าถ้าไม่มีพวกเขาเราจะทำอะไรกิน เขาเป็นมันสมองของชาติ (เด็กฉลาดชาติเจริญ)
33. ยามเราทุกข์ เครียด เขาช่วยเราได้เมื่อได้ใกล้ชิด เพราะเขาน่ารักบริสุทธิ์และจริงใจ
34. เขาเป็นแขนขาให้เราได้ยามเราเหน็ดเหนื่อย เขาช่วยหยิบจับรับใช้และบางครั้งก็แนะนำอะไรๆ กับเราได้
35. ให้อภัยเขาหากเขาก้าวร้าวล่วงเกินเรา
36. ลืมปัญหาหรือความไม่สบายใจของเราไว้ก่อน เมื่อเข้าสอน
37. อาจเล่าปัญหาของเราให้นักเรียนฟังบ้าง เขาก็จะเข้าใจเรา เราก็จะสบายใจเช่นเราอาจเล่าให้นักเรียนฟังว่า “นักเรียนเนี่ย เมื่อวานนี้ลูกครูโดดเรียนไม่เข้าเรียน ความประพฤติแย่ลงทุกวัน ครูละกลุ้มใจจังเลย หนูอย่าเอาอย่างนะ พ่อ-แม่ จะกลุ้มใจนะลูก” พูดคุยยิ้มแย้ม พูดเล่นกับเขาบ้าง
38. สังเกต ทดสอบความรู้พื้นฐานของนักเรียน แล้วจึงจัดเตรียมการสอนให้นักเรียนรับได้เรียนรู้เรื่องเมื่อเราประจักษ์ เช่นนี้แล้ว แล้วลองปฏิบัติดูเราจะเป็นครูมืออาชีพได้


ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง
เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น
เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า
แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น…………
เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง
เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง
ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น……จากนี้ไป……ขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ
เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ ……โอกาสที่พิเศษสุด……แล้ว
จงแสวงหา การหยั่งรู้
จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ…..อยาก…
จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น…….
กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป
ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด
เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย
น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้
เอาคำพูดที่ว่า…….สักวันหนึ่ง……..ออกไปเสียจากพจนานุกรม
บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน
อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น
ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย
เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง
และเวลานี้….
ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลาที่จะ copy ข้อความนี้ไปให้คนที่คุณรักอ่าน…… แล้วคิดว่า….สักวันหนึ่ง………..ค่อยส่ง.. จงอย่าลืมคิดว่า….สักวันหนึ่ง…..วันนั้น คุณอาจไม่มีโอกาสมานั่งตรงนี้เพื่อทำอย่างที่คุณต้องการอีกก็ได้
Categories : Forword mail

3. ศักดิ์ศรี

Posted by Hoopie 11 November, 2010 (2) Comment
พูดถึงเรื่องอัตตาตัวตนบางคนฟังไม่ถูก จึงขอพูดถึงอาการของอัตตาที่ค่อนข้างชัดเจน นั้นคือสิ่งที่เราเรียกว่าศักดิ์ศรี
เราควรจะดูตัวเองให้เป็นว่า
ศักดิ์ศรีของเราอยู่ตรงไหน
เพราะศักดิ์ศรีเป็นจุดอ่อนของเรา
เป็นทีเกิดของทุกข์
สิ่งใดก็ตามแม้แต่ขี้ปะติ๋ว
หากกระทบศักดิ์ศรีของเราเมื่อใดก็เป็นเรื่องเมื่อนั้นทันที
ถ้าเราเอาการรักษาศักดิ์ศรีเป็นเครื่องตัดสินว่า
เราจะทำหรือไม่ทำอะไรในชีวิต
เราควรจะระวังให้ดีว่า
เราผูกศักดิ์ศรีของเราไว้กับอะไรบ้าง
ตราบใดที่เรายังเป็นปุถุชนคงยังไม่พ้นความยึดมั่นในศักดิ์ศรี
แต่อย่างน้อยที่สุดเราควรจะพัฒนามัน
จนขึ้นอยู่กับการเป็นพุทธมามกะมากกว่าอย่างอื่น
การมีอัตตาหรือการเป็นชาวพุทธที่ดียังมีโทษอยู่
แต่สำหรับนักปฏิบัติธรรมอาจใช้ความรู้สึกในศักดิ์ศรี
มาหนุนกำลังความละอายต่อบาปในเบื้องต้น
และเป็นขั้นตอนที่จะนำไปสู่ความปลอดภัยในที่สุด
ทุกวันนี้เราเอาอะไรมาเป็นศักดิ์ศรีของตน ขอให้ดูให้ดี
เพราะถ้าไม่ระวังในเรื่องนี้ เดี๋ยวจะกีดกั้นความเจริญในธรรม
มัวแต่เป็นห่วงเรื่องมายา
คือเอาแต่กังวลเรื่องความรู้สึกของเขาต่อเรา อย่างนี้ก็ยุ่ง
ถ้าศักดิ์ศรีของเราขึ้นอยู่กับความมั่นใจว่า
เขารักเราจริง เขาเคารพเราจริง เขากลัวเราจริง ฯลฯ
อย่างนี้ไม่มีวันที่จะสงบได้
เราจะอ่อนไหวต่อการกระทำของคนอื่นตลอดเวลา
เขาทำอย่างนั้นแปลว่าอะไร
เขาไม่ทำอย่างนั้นแปลว่าอะไร
เขาพูดอย่างนั้นแปลว่าอะไร
เขาเงียบอย่างนั้นแปลว่าอะไร
เขายิ้นอย่างนั้นแปลว่าอย่างไร
เขาหน้าตาเฉยอย่างนั้นแปลว่าอย่างไร
เป็นนักแปลอย่างนี้เหน็ดเหนื่อยมาก

             4.  สิ่งที่เรามองข้าม 
(คัดลอกบางตอนมาจาก “ปัจจุบันสดใส” โดย พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ,
พิมพ์ครั้งที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๓ โดย กองทุนสื่อธรรมะทอสี และมูลนิธิปัญญาประทีป, หน้า ๑๖-๑๙)

 สียงโทรศัพท์ ดังขึ้น … มิสค่ะ … ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องนะคะ โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร ครูประจำชั้น ป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่านัดหมายแค่คุณแม่ท่านเดียวเท่านั้นในวันนี้
เอ… ใครละเนี่ย จะมีเรื่องอะไรรึปล่าวนะ เมื่อมาถึงห้อง ครูสาวแทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากแต่รูสึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว
อย่างไรก็ตาม มิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดหมาย โดยเก็บงำความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จ จึงได้เชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง
… ภาพแรกที่ได้เห็นชัด ๆ ทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่องการเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาบอกว่าอายพื่อนที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อ ว่า แม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์หรอ อะไรนี่นะคะ เลยไม่ได้มา น้ำเสียงคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ



5. คนขายสุนัข และ ลูกสุนัข 7 ตัว
      
        มีร้านค้าแห่งหนึ่ง ติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็กๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น มาชมลูกสุนัขทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง
วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่นๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่ง ก็มากระตุกชายเสื้อเขา เขาก้มลงมอง และถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่
เพื่อนของผมบอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ? เด็กบอกอย่างสุภาพ
อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดี แล้วผิวปากเรียกสุนักทั้งเจ็ดออกมา
เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมา ทีละตัว เขานับ…แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น ไหนว่ามีเจ็ดต ัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ? เด็กชายถาม
เจ้าของร้านตอบว่า อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี
มันก็เลยต้องคลานออกมา วิ่งมาพร้อมกับพี่ๆ ของมันไม่ได้


6. ถ้ามนุษย์ไม่มีธรรมะ
ถ้าเอา ธรรมะออกไปแล้ว มนุษย์จะเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ไม่มีธรรมะแล้ว อันธพาลเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่มีความผาสุกเลย ในโลกสัตว์เดรัจฉานไม่มีอันธพาลอย่างนี้ ไม่มีอันธพาลขนาดที่ว่า เอาก้อนหินมาดักรถยนต์ให้สะดุดแล้วล้มคว่ำ แล้วก็มาปล้นเอาของในรถยนต์ ถอดเอาเสื้อผ้าของคนในรถเหลือแต่กางเกงในนั้น สัตว์เดรัจฉานทำไม่ได้”
พุทธทาส

      7. แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน

แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝนต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำคนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวันก็ยังโง่เท่าเดิม
นัยอันล้ำลึกของคำว่า “ขอบคุณ”
ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ
ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ


 8.ความเห็นเเก่ตัว
หนอนกินผัก
สนัขกัดรองเท้า
เป็นความเห็นแก่ตัวหรือ
ถ้ามันไม่รู้ว่าสิ่งที่มันทำนั้นผิด
ปลากัดกินลูกน้ำ
กาฝากเกาะกิ่งไม้
เป็นความเห็นแก่ตัวหรือ
ถ้ามันมีโอกาสเลือกได้ มันจะทำเช่นนั้นหรือ
ชาวนาถอนหญ้าในนาข้าว
ข้าศึกประหัตประหารกันในสมรภูมิ
นี่ก็เรียกว่าความเห็นแก่ตัวหรือ
ถ้าหน้าที่ไม่บังคับ เขาก็คงหลีกเลี่ยงแล้ว

เมี่ยงคำ


 9. เมี่ยงคำ
เป็นอาหารที่คนภาคกลางนิยมรับประทานเป็นอาหารว่าง ในช่วงฤดูฝน เนื่องจากเป็นช่วงที่ต้นชะพลูออกใบและยอดอ่อนมากที่สุดและรสชาติดีแต่จริงๆ แล้วเมี่ยงคำสามารถรับประทานเป็นอาหารว่างได้ตลอดทั้งปี แล้วแต่ว่าจะมุ่งรับประทานเพื่อความอร่อยหรือจะรับประทานเพื่อการดูแลสุขภาพ (การปรับสมดุลธาตุในร่างกาย) วัตุดิบในการทำเมี่ยงคำ ใบชะพลู หรือใบทองหลาง มะพร้าวหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ คั่ว หอมแดงหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า ขิงหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า มะนาวหั่นทั้งเปลือกเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า พริกขี้หนูซอย ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง (เลือกที่เป็นชนิดจืด) น้ำราดเมี่ยงคำ น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย กะปิ (เผาเพื่อเพิ่มความหอม) น้ำปลาอย่างดี 1 ถ้วย ข่าหั่นละอียด 1 ช้อนโต๊ะ ตะไคร้หั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ กุ้งแห้งโขลกละเอียด 1/4 ถ้วย ขั้นตอนการทำ คั่วมะพร้าว ในกระทะโดยใช้ไฟอ่อน จนได้มะพร้าวคั่วที่กรอบหอม ทำน้ำราดเมี่ยงคำ โดยเริ่มจาก ตำโขลก ตะไคร้ ข่า หอมแดงเข้า และกะปิเข้าด้วยกันให้ละเอียด เคี่ยวจนน้ำราดเมี่ยงคำเริ่มเหนียว ยกลงแล้วใส่กุ้งแห้งคั่ว เคี่ยวน้ำตาลปี๊บด้วยไฟปานกลาง และเติมน้ำปลาลงไป ใส่เครื่องที่โขลกไว้ลงไป คนให้เข้ากัน อาจเสริ์ฟเป็นคำๆ โดย ห่อเครื่องต่างๆ ด้วยใบชะพลู หรือใบทองหลาง แล้วเสียบไม้จิ้มฟันเป็นคำไว้ แล้วตักน้ำราดเมี่ยงคำใส่ถ้วยแยกไว้ต่างหาก วิธีการจัดรับประทาน ให้จัดใบชะพลูหรือใบทองหลางใส่จานวางเครื่องปรุงอย่างละน้อยลงบนใบชะพลู หรือใบทองหลางที่จัดเรียงไว้ตักน้ำเมี่ยงหยอดห่อเป็นคำๆ ...






http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/686/39686/images/001kamin/kamin150e.jpgขมิ้นชันมีประโยชน์ และสรรพคุณ หลายประการดังนี้ขมิ้นชันมีวิตามิน เอ,ซี,อี ทั้ง 3 ตัว วิตามินที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานได้ ต้องมีพร้อมกันทั้ง 3 ตัว ซึ่งจะมีผลทำให้ - ช่วยลดไขมันในตับ
- สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร
- ช่วยย่อยอาหาร
- ทำความสะอาดให้ลำไส้
- เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ
- ต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ
- สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง
- กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไปแล้วสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง